การขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund) คือสิทธิประโยชน์สำคัญที่ธุรกิจและบุคคลทั่วไปไม่ควรมองข้าม แต่การดำเนินการที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้คุณสูญเสียสิทธิประโยชน์อันพึงได้
วันนี้เราจะมาแนะนำข้อควรรู้และรายละเอียดสำคัญที่คุณควรตรวจสอบก่อนดำเนินการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้คุณมั่นใจว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์อย่างครบถ้วน
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax หรือ VAT) คือภาษีที่รัฐจัดเก็บจากการซื้อขายสินค้าหรือบริการในแต่ละขั้นตอนของการผลิตจนถึงมือผู้บริโภค โดยปัจจุบันประเทศไทยกำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 7%
ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีและสามารถขอคืนภาษีได้หากมีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย
บริการที่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มมีหลากหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น
บริการด้านโทรคมนาคม (โทรศัพท์, อินเทอร์เน็ต)
บริการขนส่ง (โลจิสติกส์)
บริการที่ปรึกษาทางกฎหมายและบัญชี
บริการโรงแรมและที่พัก
บริการโฆษณาและการตลาด
บริการทางการแพทย์ (เฉพาะบางประเภท)
บริการทำความสะอาดและรักษาความปลอดภัย
ก่อนที่จะดำเนินการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการต้องมั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้อย่างครบถ้วน
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้อง ผู้ที่สามารถขอคืนภาษีได้จะต้องเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากรแล้วเท่านั้น
มีภาษีซื้อเกินกว่าภาษีขาย เงื่อนไขสำคัญคือภาษีซื้อ (ภาษีที่ชำระจากการซื้อสินค้าหรือบริการ) ต้องมีจำนวนมากกว่าภาษีขาย (ภาษีที่ได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการ) จึงจะสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้
จัดเตรียมเอกสารอย่างถูกต้องและครบถ้วน เอกสารทุกอย่างต้องมีการจัดเก็บและสามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะใบกำกับภาษีที่ต้องมีรายละเอียดครบถ้วนถูกต้อง
การขอคืนภาษี จำเป็นต้องมีการเตรียมเอกสารที่ชัดเจนและครบถ้วน ดังนี้
แบบคำขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบ ภ.พ.30)
ใบกำกับภาษีซื้อที่ถูกต้องสมบูรณ์
หลักฐานการชำระเงิน (ใบเสร็จรับเงิน, สลิปโอนเงิน)
สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
หนังสือมอบอำนาจ (กรณีผู้ยื่นคำขอไม่ได้ดำเนินการด้วยตัวเอง)
เอกสารประกอบอื่นๆ ที่กรมสรรพากรกำหนดเพิ่มเติม
เมื่อเตรียมเอกสารครบแล้ว คุณสามารถดำเนินการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ดังนี้
ยื่นคำร้องผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถดำเนินการยื่นคำร้องผ่านระบบ e-Filing ของกรมสรรพากรได้ทันที โดยจะต้องแนบเอกสารที่กำหนดไว้ให้ครบถ้วน
รอการตรวจสอบและอนุมัติจากกรมสรรพากร กรมสรรพากรจะทำการตรวจสอบเอกสารและข้อมูลที่คุณยื่นเข้ามา โดยทั่วไปจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 30-60 วัน
รับเงินคืน หากได้รับการอนุมัติ เงินคืนจะถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของผู้ประกอบการตามที่ได้ระบุไว้ในการยื่นคำขอ
การดำเนินการขอคืนภาษี หากผิดพลาดหรือไม่รอบคอบ อาจทำให้คุณพลาดสิทธิ์หรือเกิดปัญหาในการดำเนินการได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นต้องระวังประเด็นดังต่อไปนี้อย่างละเอียด
เอกสารไม่ครบหรือข้อมูลไม่ถูกต้อง การขาดเอกสารที่สำคัญ เช่น ใบกำกับภาษีที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ หรือข้อมูลบนเอกสารมีความผิดพลาด เช่น วันที่ไม่ตรงกัน จำนวนเงินไม่ถูกต้อง หรือชื่อที่อยู่ของผู้ประกอบการผิดพลาด จะทำให้การขอคืนภาษีล่าช้าหรือไม่ได้รับการอนุมัติจากกรมสรรพากร
การขอคืนภาษีเกินความเป็นจริง หากคุณยื่นขอคืนภาษีในจำนวนที่สูงเกินจริงและไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนมารองรับ เช่น ใบกำกับภาษีปลอม หรือใบกำกับภาษีที่ออกย้อนหลังโดยไม่มีรายการซื้อจริง เมื่อกรมสรรพากรตรวจสอบพบ อาจถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา มีโทษปรับสูงสุด 2 เท่าของภาษีที่ขอคืนโดยมิชอบ หรือจำคุกไม่เกิน 7 ปี
การละเลยระยะเวลาการยื่นขอคืน ผู้ประกอบการควรดำเนินการยื่นขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มภายในกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งปกติควรดำเนินการไม่เกิน 3 ปีนับแต่วันที่เสียภาษี หากล่าช้าหรือยื่นหลังจากนั้นอาจเสียสิทธิ์ที่จะได้รับเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณมีสิทธิ์ได้รับ
การบันทึกบัญชีผิดพลาด การจัดทำบัญชีที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นระบบอาจทำให้คุณไม่สามารถยืนยันจำนวนภาษีซื้อที่ถูกต้องได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาในการตรวจสอบจากกรมสรรพากร ดังนั้นควรจัดการระบบบัญชีให้ถูกต้องและมีความแม่นยำเสมอ
การใช้บริการตัวแทนที่ไม่น่าเชื่อถือ หากคุณไม่ได้ดำเนินการเองแต่เลือกใช้บริการของตัวแทน ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ประสบการณ์ และผลงานที่ผ่านมา หากตัวแทนดำเนินการผิดพลาด คุณในฐานะผู้ยื่นขอคืนภาษีจะเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง
โดยการปฏิบัติตามแนวทางข้างต้นจะช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม และช่วยให้คุณสามารถใช้สิทธิประโยชน์นี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ